การเทรดในตลาดการเงินต้องอาศัยทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคและความเข้าใจจิตวิทยาตลาด กราฟจิตวิทยาการเทรดช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนในแต่ละช่วงของวัฏจักรราคา รวมถึงกับดักตลาด เช่น Bear Trap และ Bull Trap ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของเทรดเดอร์ หากเทรดเดอร์สามารถระบุจังหวะที่เหมาะสมและเข้าใจพฤติกรรมของตลาดได้ จะช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วงขาขึ้นและการสะสม
การสะสม (Accumulation)
เป็นช่วงที่แนวโน้มขาลงสิ้นสุด นักลงทุนรายใหญ่เริ่มสะสมสินทรัพย์โดยที่ราคายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ปริมาณการซื้อขายในช่วงนี้ยังต่ำ แต่เริ่มมีสัญญาณของแรงซื้อจากนักลงทุนที่ต้องการเข้าสู่ตลาดก่อนที่แนวโน้มขาขึ้นจะเริ่มต้น
การเกิดแนวโน้ม (Trend Emergence)
ราคามีสัญญาณฟื้นตัว นักลงทุนเริ่มเข้าซื้อเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แนวโน้มขาขึ้นเริ่มเป็นที่สังเกตได้จากการที่ราคาสร้างจุดสูงใหม่และมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น
แรงโมเมนตัมเพิ่มขึ้น (Momentum Building)
แรงซื้อเริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ราคาปรับตัวขึ้นและเริ่มเห็นแนวโน้มที่ชัดเจน นักลงทุนรายย่อยเริ่มเข้ามาซื้อเพราะเห็นสัญญาณบวกจากกราฟและข่าวสารที่เริ่มเผยแพร่เกี่ยวกับสินทรัพย์นั้น ๆ
การเขย่าตลาด (Shake-out)
ราคามีการปรับฐานลงเพื่อกำจัดนักลงทุนที่ขาดความมั่นใจ นักลงทุนที่มีประสบการณ์มักถือสถานะต่อไปในช่วงนี้ เพราะมองว่าเป็นเพียงการพักตัวของราคา และใช้โอกาสนี้ในการเข้าซื้อเพิ่ม
กับดัก Bear Trap
Bear Trap คือสถานการณ์ที่ราคาหลุดแนวรับสำคัญ ทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดว่าตลาดจะกลับตัวเป็นขาลง จึงขายออกหรือเปิดสถานะ Short แต่สุดท้ายราคากลับตัวขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้นักลงทุนเหล่านั้นต้องปิดสถานะขาดทุน
วิธีระบุ Bear Trap
- ราคาทะลุแนวรับแต่ไม่มีแรงขายต่อเนื่อง ซึ่งบ่งบอกว่าอาจเป็นสัญญาณหลอก
- ปริมาณการซื้อขายลดลงเมื่อราคาหลุดแนวรับ ซึ่งหมายความว่าไม่มีแรงขายมากพอที่จะทำให้ราคาลดลงต่อ
- สัญญาณจาก RSI หรือ MACD แสดง Divergence โดยราคาลงแต่ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคกลับไม่ได้ลดลงตาม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเตรียมกลับตัว
- รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว เช่น Hammer หรือ Bullish Engulfing ซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคาพร้อมที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง
วิธีหลีกเลี่ยง Bear Trap
- รอการยืนยันแนวโน้มก่อนเข้าทำการเทรด อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจจากการทะลุแนวรับเพียงอย่างเดียว
- ใช้คำสั่งหยุดขาดทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง หากราคากลับตัวขึ้นมาอย่างรุนแรง จะช่วยลดการขาดทุน
- ศึกษารูปแบบแท่งเทียนและปริมาณการซื้อขายประกอบการวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ
จุดพีคของตลาดและการกลับตัว
ความหวังใหม่ (Renewed Optimism)
นักลงทุนยังเชื่อว่าราคาจะขึ้นต่อไป จึงมีการเข้าซื้อเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเริ่มมีแรงขายจากผู้ที่ถือสถานะมานานและต้องการทำกำไร
ความกลัวตกรถ (FOMO)
นักลงทุนทั่วไปเริ่มตื่นตระหนกและรีบเข้าซื้อเพราะกลัวว่าจะพลาดโอกาสในการทำกำไร แรงซื้อในช่วงนี้มักมาจากนักลงทุนที่ไม่มีแผนการเทรดที่ชัดเจน ซึ่งอาจนำไปสู่การติดดอย
ภาวะอิ่มตัวของตลาด (Euphoria)
เป็นช่วงที่ราคาสูงสุด นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าราคาจะเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้เล่นรายใหญ่เริ่มทยอยขายทำกำไร
กับดัก Bull Trap
ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ไม่สามารถรักษาระดับได้ นักลงทุนที่เข้าซื้อในช่วงนี้อาจติดดอยเมื่อตลาดเริ่มปรับฐานลง ราคาที่ดูเหมือนจะพุ่งขึ้นต่ออาจเป็นแค่สัญญาณหลอก และหลังจากนั้นราคาจะร่วงลงอย่างรวดเร็ว
ช่วงขาลงและสิ้นสุดแนวโน้ม
การแตกของแนวโน้มขาขึ้น (Breakdown)
ราคาปรับตัวลงอย่างรุนแรง นักลงทุนเริ่มขายออกเพราะกลัวว่าจะขาดทุนหนักขึ้น
ความกลัวและการยอมแพ้ (Fear and Capitulation)
นักลงทุนจำนวนมากเริ่มขายสินทรัพย์ทิ้งเนื่องจากไม่สามารถทนต่อการขาดทุนได้อีกต่อไป แรงขายในช่วงนี้มักเกิดจากอารมณ์และไม่ใช่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
การหาจุดต่ำสุด (Bottom Fishing)
นักลงทุนที่มีประสบการณ์เริ่มกลับมาเข้าซื้อ แต่ส่วนใหญ่มักรอดูสัญญาณยืนยันแนวโน้มกลับตัวก่อนตัดสินใจเข้าตลาดอีกครั้ง
ความสิ้นหวัง (Despair)
เป็นช่วงที่นักลงทุนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่น ตลาดเคลื่อนไหวอย่างซบเซาก่อนเริ่มเข้าสู่ช่วงสะสมใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ในราคาต่ำเพื่อเข้าสะสม
กลยุทธ์การเทรดเพื่อลดความเสี่ยง
- หลีกเลี่ยงการเข้าซื้อเมื่อเกิดภาวะ Euphoria หรือ FOMO เพราะมีโอกาสสูงที่ตลาดจะกลับตัว
- ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น RSI, MACD และ Volume เพื่อช่วยยืนยันแนวโน้ม และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจจากอารมณ์
- ตั้งจุดหยุดขาดทุนเพื่อป้องกันการขาดทุนมากเกินไป ควรมีแผนรองรับสำหรับทุกการเทรด
- ไม่ตัดสินใจเทรดโดยใช้อารมณ์ ให้ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อให้การตัดสินใจมีเหตุผลและลดความเสี่ยง
คำเตือนความเสี่ยง:
ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้จัดทำเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ ความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นความรับผิดชอบของผู้ลงทุนเอง