แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี Kraken ประกาศเปิดให้บริการ Staking สำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังจากถูก คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) สั่งให้หยุดดำเนินการในปี 2023 การกลับมาครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ภาครัฐเริ่มมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นต่ออุตสาหกรรมคริปโต
รายละเอียดของบริการ Staking ที่กลับมา
Kraken เปิดให้บริการ Bonded Staking ผ่าน Kraken Pro สำหรับลูกค้าใน 39 รัฐและดินแดนของสหรัฐฯ โดยมีสินทรัพย์ที่รองรับมากถึง 17 รายการ เช่น Ethereum (ETH), Solana (SOL), Polkadot (DOT) และ Cardano (ADA) เป็นต้น
Kraken ยืนยันว่าบริการนี้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับกฎหมายของสหรัฐฯ และยังคงรักษาระดับผลตอบแทนที่แข่งขันได้ในตลาด
Mark Greenberg หัวหน้าฝ่ายผู้บริโภคระดับโลกของ Kraken กล่าวว่า “เราต้องการให้ลูกค้าในสหรัฐฯ สามารถเข้าถึงการ Staking ได้อีกครั้ง เพราะมันเป็นองค์ประกอบสำคัญของคริปโทเคอร์เรนซี”
Kraken กับประเด็นขัดแย้ง SEC
ย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 Kraken ต้องจ่ายค่าปรับ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตกลง ยุติบริการ Staking-as-a-Service ในสหรัฐฯ หลังจาก SEC กล่าวหาว่า Kraken เสนอขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน
การตัดสินใจครั้งนั้นสร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการคริปโต เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ SEC ใช้กฎหมายหลักทรัพย์มาควบคุม Staking ในระดับแพลตฟอร์ม ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ให้บริการอื่น ๆ เช่น Coinbase ที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงในนโยบายของรัฐบาล
การกลับมาให้บริการ Staking ของ Kraken เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณถึง แนวทางที่เป็นมิตรต่อคริปโตมากขึ้น หลังจากที่อดีตรัฐบาลก่อนหน้านี้มุ่งเน้นมาตรการเข้มงวด
นักวิเคราะห์มองว่าการกลับมาของ Kraken อาจเป็นสัญญาณว่า ภาครัฐเริ่มผ่อนคลายแนวทางการกำกับดูแล Staking และเปิดโอกาสให้แพลตฟอร์มอื่น ๆ สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง
ผลกระทบต่อตลาดคริปโต
การกลับมาให้บริการ Staking ของ Kraken เป็นข่าวดีสำหรับ นักลงทุนสหรัฐฯ ที่ต้องการสร้างผลตอบแทนจากสินทรัพย์ดิจิทัลของตน นอกจากนี้ยังส่งผลเชิงบวกต่อ Ethereum และ Solana ซึ่งเป็นบล็อกเชนที่ใช้กลไก Proof-of-Stake (PoS) เป็นหลัก
สรุป
Kraken ประกาศกลับมาให้บริการ Staking ในสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังจากต้องระงับไปเมื่อปี 2023 เนื่องจากข้อพิพาทกับ SEC การกลับมาครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางท่าทีที่เปลี่ยนแปลงของภาครัฐสหรัฐฯ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงแนวโน้มการกำกับดูแลที่ผ่อนคลายมากขึ้นต่ออุตสาหกรรมคริปโต
แหล่งที่มา: CoinDesk
คำเตือนความเสี่ยง:
ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้จัดทำเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ ความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นความรับผิดชอบของผู้ลงทุนเอง