Blockchain Layer คืออะไร? เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นระบบบัญชีแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Ledger) โดยช่วยให้การทำธุรกรรมดิจิทัลมีความปลอดภัยและตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบล็อกเชนต้องรองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาให้สามารถขยายขนาดได้จึงเป็นเรื่องสำคัญ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ระบบบล็อกเชนถูกแบ่งออกเป็นหลายเลเยอร์ (Layers) เพื่อลดภาระของเครือข่ายหลัก และเพิ่มประสิทธิภาพของการทำธุรกรรม

บล็อกเชนสามารถแบ่งออกเป็น 4 เลเยอร์หลัก ได้แก่ Layer 0, Layer 1, Layer 2 และ Layer 3 ซึ่งแต่ละเลเยอร์มีบทบาทแตกต่างกันในการจัดการและปรับปรุงการทำงานของเครือข่าย
ตารางเปรียบเทียบ Blockchain Layer 0, 1, 2 และ 3
คุณสมบัติ | Layer 0 (พื้นฐาน) | Layer 1 (บล็อกเชนหลัก) | Layer 2 (โซลูชันขยายขนาด) | Layer 3 (แอปพลิเคชัน) |
---|---|---|---|---|
หน้าที่หลัก | รองรับและเชื่อมต่อหลายบล็อกเชน | ทำหน้าที่บันทึกและยืนยันธุรกรรม | ช่วยเพิ่มความเร็วและลดค่าธรรมเนียม | รองรับการพัฒนาแอปพลิเคชัน |
ตัวอย่างโปรโตคอล | Polkadot, Cosmos, Avalanche Subnets | Bitcoin, Ethereum, Solana | Lightning Network, Arbitrum | Uniswap, Aave, Chainlink |
ความเร็ว | ขึ้นอยู่กับเครือข่ายที่สร้างขึ้น | ค่อนข้างช้า | เร็วขึ้นมาก | ขึ้นอยู่กับ Layer 2 |
ค่าธรรมเนียม | ขึ้นอยู่กับโครงสร้างที่ใช้ | สูง (โดยเฉพาะ Ethereum) | ต่ำกว่าการทำธุรกรรมบน Layer 1 | ต่ำกว่าการทำธุรกรรมบน Layer 1 |
ตัวอย่างการใช้งาน | Polkadot (DOT), Cosmos (ATOM) | Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH) | Lightning Network (BTC), Polygon (MATIC) | Uniswap (UNI), OpenSea (NFT) |
Layer 0: โครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชน
Layer 0 คืออะไร?
Layer 0 เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ลึกที่สุดของบล็อกเชน ซึ่งเป็นเลเยอร์ที่ช่วยให้เครือข่ายต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันได้และสร้างบล็อกเชนใหม่ขึ้นมาโดยไม่ต้องพึ่งพาเครือข่ายเดียวกันทั้งหมด Layer 0 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการทำงานร่วมกันระหว่างบล็อกเชน (Interoperability) และช่วยให้การพัฒนาเครือข่ายใหม่ทำได้ง่ายขึ้น
รูปแบบการทำงานของ Layer 0
Layer 0 ใช้ Relay Chains และ Sidechains เพื่อเชื่อมโยงหลายๆ บล็อกเชนเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น Polkadot (DOT) ใช้ Relay Chain เป็นเครือข่ายกลางในการสื่อสารระหว่าง Parachains ที่แตกต่างกัน โดย Relay Chain ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ช่วยให้บล็อกเชนแต่ละเครือข่ายสามารถโต้ตอบและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้
อีกตัวอย่างคือ Cosmos (ATOM) ซึ่งใช้ IBC (Inter-Blockchain Communication Protocol) เพื่อให้บล็อกเชนที่พัฒนาภายใต้ Cosmos สามารถสื่อสารกันได้อย่างราบรื่น
ข้อดีของ Layer 0
- รองรับการเชื่อมต่อระหว่างบล็อกเชน ทำให้โครงการต่างๆ สามารถโต้ตอบกันได้
- ลดภาระของ Layer 1 โดยกระจายการประมวลผลไปยังหลายๆ เครือข่าย
- สามารถปรับแต่งกลไกฉันทามติ (Consensus Mechanism) ได้ตามต้องการ
ข้อเสียของ Layer 0
- มีความซับซ้อนในการพัฒนาและต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน
- ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับโปรโตคอลที่ใช้ในการเชื่อมต่อ
Layer 1: บล็อกเชนหลักและโครงสร้างเครือข่าย
Layer 1 คืออะไร?
Layer 1 คือบล็อกเชนหลักที่ทำหน้าที่บันทึกและยืนยันธุรกรรมโดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างอื่นๆ Layer 1 เป็นรากฐานของระบบนิเวศบล็อกเชนทั้งหมด เช่น Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Binance Smart Chain (BSC) และ Solana (SOL)
รูปแบบการทำงานของ Layer 1
Layer 1 ใช้ กลไกฉันทามติ (Consensus Mechanism) เพื่อรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ตัวอย่างหลักๆ ได้แก่
- Proof of Work (PoW): ใช้การขุด (Mining) ในการยืนยันธุรกรรม เช่น Bitcoin
- Proof of Stake (PoS): ใช้การ Stake เหรียญเพื่อรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย เช่น Ethereum 2.0
- Delegated Proof of Stake (DPoS): ผู้ใช้สามารถมอบอำนาจให้ผู้ตรวจสอบยืนยันธุรกรรม เช่น Binance Smart Chain
ข้อดีของ Layer 1
- มีความปลอดภัยสูงและกระจายศูนย์สมบูรณ์
- รองรับ Smart Contracts และแอปพลิเคชันบนบล็อกเชน
ข้อเสียของ Layer 1
- ทำธุรกรรมได้ช้าและค่าธรรมเนียมสูง
- ยากต่อการขยายขนาดเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก
Layer 2: โซลูชันขยายขนาดบล็อกเชน
Layer 2 คืออะไร?
Layer 2 เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความเร็วและลดค่าธรรมเนียมของบล็อกเชน Layer 1 โดยการประมวลผลธุรกรรมนอกเครือข่ายหลักก่อนจะนำข้อมูลที่ยืนยันแล้วบันทึกกลับไปยัง Layer 1
รูปแบบการทำงานของ Layer 2
Layer 2 ทำงานผ่าน Rollups, State Channels และ Sidechains
-
Rollups:
- Optimistic Rollups (เช่น Arbitrum, Optimism): รวมหลายธุรกรรมเข้าด้วยกันแล้วส่งไปยัง Layer 1 โดยไม่ต้องตรวจสอบทั้งหมดล่วงหน้า
- ZK-Rollups (เช่น zkSync, StarkNet): ใช้ Zero-Knowledge Proofs เพื่อยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด
-
State Channels: เช่น Lightning Network (BTC), Raiden Network (ETH) ซึ่งเปิดช่องทางธุรกรรมระหว่างสองฝ่ายโดยไม่ต้องบันทึกทุกธุรกรรมลงในบล็อกเชน
-
Sidechains: เช่น Polygon (MATIC) เป็นบล็อกเชนแยกที่เชื่อมต่อกับ Layer 1 ทำให้สามารถทำธุรกรรมได้เร็วขึ้นและถูกลง
ข้อดีของ Layer 2
- ลดค่าธรรมเนียมและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม
- ขยายขนาดเครือข่ายบล็อกเชนได้ง่ายขึ้น
ข้อเสียของ Layer 2
- ต้องพึ่งพา Layer 1 ในการรักษาความปลอดภัย
- บางโซลูชันต้องมีการฝากสินทรัพย์เข้าไปในระบบ Layer 2
Layer 3: แอปพลิเคชันบนบล็อกเชน
Layer 3 คืออะไร?
Layer 3 เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของระบบบล็อกเชน เป็นที่ตั้งของแอปพลิเคชันที่ใช้งานโดยผู้ใช้ทั่วไป เช่น DeFi, NFT, เกมบล็อกเชน และระบบ Oracle
รูปแบบการทำงานของ Layer 3
- DeFi: เช่น Uniswap (UNI), Aave (AAVE) ใช้ Smart Contracts เพื่อให้บริการทางการเงิน
- NFT Marketplaces: เช่น OpenSea (NFT) เป็นแพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
- Blockchain Oracles: เช่น Chainlink (LINK) ช่วยนำข้อมูลจากโลกจริงมาใช้ใน Smart Contracts
ข้อดีของ Layer 3
- ช่วยให้บล็อกเชนถูกนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ
- รองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่หลากหลาย
ข้อเสียของ Layer 3
- ขึ้นอยู่กับ Layer 1 และ Layer 2 ในการรักษาความปลอดภัย
- ต้องมีการพัฒนาต่อเนื่องเพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น
สรุป
บล็อกเชนมีโครงสร้างหลายชั้นเพื่อแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพและขยายขีดความสามารถของเครือข่าย โดย Layer 0 เป็นโครงสร้างพื้นฐาน, Layer 1 เป็นเครือข่ายหลัก, Layer 2 ช่วยขยายประสิทธิภาพ, และ Layer 3 มุ่งเน้นไปที่การใช้งานจริง เช่น DeFi และ NFT
การทำความเข้าใจแต่ละ Layer จะช่วยให้ผู้ใช้งานและนักพัฒนาสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองมากที่สุด
คำเตือนความเสี่ยง:
ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้จัดทำเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ ความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นความรับผิดชอบของผู้ลงทุนเอง