Blockchain Layer 0, 1, 2 และ 3 คืออะไร? โครงสร้าง วิธีทำงาน ข้อดี-ข้อเสีย และตัวอย่างเหรียญสำคัญ

26

Blockchain Layer คืออะไร? เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นระบบบัญชีแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Ledger) โดยช่วยให้การทำธุรกรรมดิจิทัลมีความปลอดภัยและตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบล็อกเชนต้องรองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาให้สามารถขยายขนาดได้จึงเป็นเรื่องสำคัญ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ระบบบล็อกเชนถูกแบ่งออกเป็นหลายเลเยอร์ (Layers) เพื่อลดภาระของเครือข่ายหลัก และเพิ่มประสิทธิภาพของการทำธุรกรรม

Blockchain Layer คืออะไร?
Blockchain Layer คืออะไร?

บล็อกเชนสามารถแบ่งออกเป็น 4 เลเยอร์หลัก ได้แก่ Layer 0, Layer 1, Layer 2 และ Layer 3 ซึ่งแต่ละเลเยอร์มีบทบาทแตกต่างกันในการจัดการและปรับปรุงการทำงานของเครือข่าย

ตารางเปรียบเทียบ Blockchain Layer 0, 1, 2 และ 3

คุณสมบัติ Layer 0 (พื้นฐาน) Layer 1 (บล็อกเชนหลัก) Layer 2 (โซลูชันขยายขนาด) Layer 3 (แอปพลิเคชัน)
หน้าที่หลัก รองรับและเชื่อมต่อหลายบล็อกเชน ทำหน้าที่บันทึกและยืนยันธุรกรรม ช่วยเพิ่มความเร็วและลดค่าธรรมเนียม รองรับการพัฒนาแอปพลิเคชัน
ตัวอย่างโปรโตคอล Polkadot, Cosmos, Avalanche Subnets Bitcoin, Ethereum, Solana Lightning Network, Arbitrum Uniswap, Aave, Chainlink
ความเร็ว ขึ้นอยู่กับเครือข่ายที่สร้างขึ้น ค่อนข้างช้า เร็วขึ้นมาก ขึ้นอยู่กับ Layer 2
ค่าธรรมเนียม ขึ้นอยู่กับโครงสร้างที่ใช้ สูง (โดยเฉพาะ Ethereum) ต่ำกว่าการทำธุรกรรมบน Layer 1 ต่ำกว่าการทำธุรกรรมบน Layer 1
ตัวอย่างการใช้งาน Polkadot (DOT), Cosmos (ATOM) Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH) Lightning Network (BTC), Polygon (MATIC) Uniswap (UNI), OpenSea (NFT)

Layer 0: โครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชน

Layer 0 คืออะไร?

Layer 0 เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ลึกที่สุดของบล็อกเชน ซึ่งเป็นเลเยอร์ที่ช่วยให้เครือข่ายต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันได้และสร้างบล็อกเชนใหม่ขึ้นมาโดยไม่ต้องพึ่งพาเครือข่ายเดียวกันทั้งหมด Layer 0 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการทำงานร่วมกันระหว่างบล็อกเชน (Interoperability) และช่วยให้การพัฒนาเครือข่ายใหม่ทำได้ง่ายขึ้น

รูปแบบการทำงานของ Layer 0

Layer 0 ใช้ Relay Chains และ Sidechains เพื่อเชื่อมโยงหลายๆ บล็อกเชนเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น Polkadot (DOT) ใช้ Relay Chain เป็นเครือข่ายกลางในการสื่อสารระหว่าง Parachains ที่แตกต่างกัน โดย Relay Chain ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ช่วยให้บล็อกเชนแต่ละเครือข่ายสามารถโต้ตอบและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้

อีกตัวอย่างคือ Cosmos (ATOM) ซึ่งใช้ IBC (Inter-Blockchain Communication Protocol) เพื่อให้บล็อกเชนที่พัฒนาภายใต้ Cosmos สามารถสื่อสารกันได้อย่างราบรื่น

ข้อดีของ Layer 0

  • รองรับการเชื่อมต่อระหว่างบล็อกเชน ทำให้โครงการต่างๆ สามารถโต้ตอบกันได้
  • ลดภาระของ Layer 1 โดยกระจายการประมวลผลไปยังหลายๆ เครือข่าย
  • สามารถปรับแต่งกลไกฉันทามติ (Consensus Mechanism) ได้ตามต้องการ

ข้อเสียของ Layer 0

  • มีความซับซ้อนในการพัฒนาและต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน
  • ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับโปรโตคอลที่ใช้ในการเชื่อมต่อ

Layer 1: บล็อกเชนหลักและโครงสร้างเครือข่าย

Layer 1 คืออะไร?

Layer 1 คือบล็อกเชนหลักที่ทำหน้าที่บันทึกและยืนยันธุรกรรมโดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างอื่นๆ Layer 1 เป็นรากฐานของระบบนิเวศบล็อกเชนทั้งหมด เช่น Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Binance Smart Chain (BSC) และ Solana (SOL)

รูปแบบการทำงานของ Layer 1

Layer 1 ใช้ กลไกฉันทามติ (Consensus Mechanism) เพื่อรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ตัวอย่างหลักๆ ได้แก่

  • Proof of Work (PoW): ใช้การขุด (Mining) ในการยืนยันธุรกรรม เช่น Bitcoin
  • Proof of Stake (PoS): ใช้การ Stake เหรียญเพื่อรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย เช่น Ethereum 2.0
  • Delegated Proof of Stake (DPoS): ผู้ใช้สามารถมอบอำนาจให้ผู้ตรวจสอบยืนยันธุรกรรม เช่น Binance Smart Chain

ข้อดีของ Layer 1

  • มีความปลอดภัยสูงและกระจายศูนย์สมบูรณ์
  • รองรับ Smart Contracts และแอปพลิเคชันบนบล็อกเชน

ข้อเสียของ Layer 1

  • ทำธุรกรรมได้ช้าและค่าธรรมเนียมสูง
  • ยากต่อการขยายขนาดเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก

Layer 2: โซลูชันขยายขนาดบล็อกเชน

Layer 2 คืออะไร?

Layer 2 เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความเร็วและลดค่าธรรมเนียมของบล็อกเชน Layer 1 โดยการประมวลผลธุรกรรมนอกเครือข่ายหลักก่อนจะนำข้อมูลที่ยืนยันแล้วบันทึกกลับไปยัง Layer 1

รูปแบบการทำงานของ Layer 2

Layer 2 ทำงานผ่าน Rollups, State Channels และ Sidechains

  1. Rollups:

    • Optimistic Rollups (เช่น Arbitrum, Optimism): รวมหลายธุรกรรมเข้าด้วยกันแล้วส่งไปยัง Layer 1 โดยไม่ต้องตรวจสอบทั้งหมดล่วงหน้า
    • ZK-Rollups (เช่น zkSync, StarkNet): ใช้ Zero-Knowledge Proofs เพื่อยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด
  2. State Channels: เช่น Lightning Network (BTC), Raiden Network (ETH) ซึ่งเปิดช่องทางธุรกรรมระหว่างสองฝ่ายโดยไม่ต้องบันทึกทุกธุรกรรมลงในบล็อกเชน

  3. Sidechains: เช่น Polygon (MATIC) เป็นบล็อกเชนแยกที่เชื่อมต่อกับ Layer 1 ทำให้สามารถทำธุรกรรมได้เร็วขึ้นและถูกลง

ข้อดีของ Layer 2

  • ลดค่าธรรมเนียมและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม
  • ขยายขนาดเครือข่ายบล็อกเชนได้ง่ายขึ้น

ข้อเสียของ Layer 2

  • ต้องพึ่งพา Layer 1 ในการรักษาความปลอดภัย
  • บางโซลูชันต้องมีการฝากสินทรัพย์เข้าไปในระบบ Layer 2

Layer 3: แอปพลิเคชันบนบล็อกเชน

Layer 3 คืออะไร?

Layer 3 เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของระบบบล็อกเชน เป็นที่ตั้งของแอปพลิเคชันที่ใช้งานโดยผู้ใช้ทั่วไป เช่น DeFi, NFT, เกมบล็อกเชน และระบบ Oracle

รูปแบบการทำงานของ Layer 3

  • DeFi: เช่น Uniswap (UNI), Aave (AAVE) ใช้ Smart Contracts เพื่อให้บริการทางการเงิน
  • NFT Marketplaces: เช่น OpenSea (NFT) เป็นแพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
  • Blockchain Oracles: เช่น Chainlink (LINK) ช่วยนำข้อมูลจากโลกจริงมาใช้ใน Smart Contracts

ข้อดีของ Layer 3

  • ช่วยให้บล็อกเชนถูกนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ
  • รองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่หลากหลาย

ข้อเสียของ Layer 3

  • ขึ้นอยู่กับ Layer 1 และ Layer 2 ในการรักษาความปลอดภัย
  • ต้องมีการพัฒนาต่อเนื่องเพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น

สรุป

บล็อกเชนมีโครงสร้างหลายชั้นเพื่อแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพและขยายขีดความสามารถของเครือข่าย โดย Layer 0 เป็นโครงสร้างพื้นฐาน, Layer 1 เป็นเครือข่ายหลัก, Layer 2 ช่วยขยายประสิทธิภาพ, และ Layer 3 มุ่งเน้นไปที่การใช้งานจริง เช่น DeFi และ NFT

การทำความเข้าใจแต่ละ Layer จะช่วยให้ผู้ใช้งานและนักพัฒนาสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองมากที่สุด


คำเตือนความเสี่ยง:
ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้จัดทำเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ ความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นความรับผิดชอบของผู้ลงทุนเอง
บทความก่อนหน้านี้Solana (SOL) แสดงแนวโน้มขาขึ้น: อาจพุ่งแตะระดับ $264 ตามการวิเคราะห์ทางเทคนิค
บทความถัดไปBloomberg เปิดตัวดัชนีผสม Bitcoin และทองคำ ปฏิวัติแนวทางการลงทุน