Future DCA, Future Grid และ Future Martingale: กลยุทธ์บอทเทรดฟิวเจอร์สที่นักลงทุนควรรู้

12

ตลาดฟิวเจอร์ส (Futures) เป็นหนึ่งในตลาดที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่นักลงทุนคริปโต เนื่องจากสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของตลาดอาจทำให้การเทรดด้วยตนเองเป็นเรื่องยากและมีความเสี่ยงสูง บอทเทรด (Trading Bot) จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การซื้อขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์บอทเทรดฟิวเจอร์สที่นักลงทุนควรรู้
กลยุทธ์บอทเทรดฟิวเจอร์สที่นักลงทุนควรรู้

ในบทความนี้จะอธิบาย Future DCA, Future Grid และ Future Martingale ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้กับบอทเทรด พร้อมแนะนำแพลตฟอร์มที่รองรับแต่ละประเภท

เปรียบเทียบ Future DCA, Future Grid และ Future Martingale

คุณสมบัติ Future DCA Future Grid Future Martingale
หลักการทำงาน ถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) ซื้อ-ขายในช่วงราคาที่กำหนด (Grid) เพิ่มขนาดออเดอร์เป็นทวีคูณ
เหมาะกับตลาดแบบไหน เทรนด์แต่แกว่งตัว Sideways หรือมีความผันผวน เทรนด์ที่มีการกลับตัว
การทำกำไร ปิดออเดอร์เมื่อกำไร ทำกำไรต่อเนื่องจากการแกว่งตัวของราคา ปิดทั้งหมดเมื่อราคากลับมา
ความเสี่ยง ปานกลาง ต่ำ (ถ้า Grid ถูกตั้งค่าเหมาะสม) สูงมาก (ใช้ทุนทวีคูณ)
การใช้ทุน ปานกลาง ควบคุมได้ง่าย สูงมาก (เพิ่มเป็นเท่าตัวทุกครั้ง)

Future DCA (Dollar-Cost Averaging) คืออะไร?

Future DCA เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ การถัวเฉลี่ยต้นทุน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา โดยการแบ่งเงินลงทุนเป็นหลายส่วนและทยอยซื้อเพิ่มเมื่อราคาลดลง หรือทยอยขายเมื่อราคาเพิ่มขึ้น

หลักการทำงานของ Future DCA

  1. บอทจะเปิดออเดอร์แรกตามทิศทางของตลาด (Long หรือ Short)
  2. หากราคาขยับสวนทาง บอทจะเปิดออเดอร์เพิ่มที่ราคาต่ำลง (สำหรับ Long) หรือราคาสูงขึ้น (สำหรับ Short)
  3. เมื่อราคากลับมาที่จุดที่สามารถทำกำไรได้ บอทจะปิดทุกออเดอร์พร้อมกัน

ข้อดีของ Future DCA

  • ลดความเสี่ยงจากการเข้าซื้อที่จุดเดียว
  • เหมาะกับตลาดที่มีการแกว่งตัวหรือ Sideways
  • สามารถใช้กับตลาดที่มีแนวโน้มได้ หากราคามีการเด้งกลับ

ข้อเสียของ Future DCA

  • ต้องใช้ทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อราคาสวนทาง
  • หากตลาดมีแนวโน้มแรงและไม่กลับตัว อาจทำให้ติดลบต่อเนื่อง

Future Grid คืออะไร?

Future Grid เป็นกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อทำกำไรจาก ความผันผวนของตลาด โดยบอทจะวางคำสั่งซื้อและขายในช่วงราคาที่กำหนดเป็นกริด (Grid)

หลักการทำงานของ Future Grid

  1. ผู้ใช้ตั้งช่วงราคาขั้นต่ำและสูงสุดที่ต้องการให้บอททำงาน
  2. บอทจะสร้างระดับราคาหลายชั้น (Grid) และวางคำสั่งซื้อ-ขายอัตโนมัติ
  3. เมื่อราคาลงมาถึงระดับที่ตั้งไว้ บอทจะซื้อ และเมื่อราคาขึ้นถึงระดับที่ตั้งไว้ บอทจะขายทำกำไร
  4. บอทจะทำงานแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ราคาเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง Grid

ข้อดีของ Future Grid

  • ทำกำไรต่อเนื่องจากความผันผวนของราคา
  • ไม่ต้องคาดเดาทิศทางของตลาด
  • เหมาะกับตลาด Sideways หรือมีความผันผวน

ข้อเสียของ Future Grid

  • หากราคาออกจากช่วง Grid ที่ตั้งไว้ อาจไม่สามารถทำกำไรได้
  • ต้องใช้ทุนที่เหมาะสมเพื่อให้ Grid ครอบคลุมช่วงราคาที่เพียงพอ

Future Martingale คืออะไร?

Future Martingale เป็นกลยุทธ์ที่ใช้หลักการ เพิ่มขนาดการลงทุนเป็นเท่าตัว เมื่อขาดทุน โดยมีแนวคิดว่าการชนะครั้งถัดไปจะช่วยคืนทุนและทำกำไร

หลักการทำงานของ Future Martingale

  1. บอทจะเปิดออเดอร์แรกตามทิศทางที่กำหนด
  2. หากราคาสวนทาง บอทจะเปิดออเดอร์เพิ่มที่ขนาดใหญ่ขึ้น (เช่น 1x → 2x → 4x → 8x)
  3. เมื่อราคากลับมา บอทจะปิดทุกออเดอร์พร้อมกัน โดยออเดอร์ที่ใหญ่ขึ้นช่วยให้สามารถทำกำไรได้มากพอที่จะชดเชยการขาดทุนก่อนหน้า

ข้อดีของ Future Martingale

  • ปิดออเดอร์ได้เร็วขึ้นเมื่อราคากลับมา
  • สามารถทำกำไรได้สูงในตลาดที่แกว่งตัว

ข้อเสียของ Future Martingale

  • ใช้ทุนสูงมาก เนื่องจากต้องเพิ่มขนาดออเดอร์ต่อเนื่อง
  • มีความเสี่ยงสูง หากราคายังคงสวนทางต่อไป อาจทำให้พอร์ตหมดทุน

Exchange ที่รองรับบอทเทรดแต่ละประเภท

บอทเทรดเหล่านี้สามารถใช้งานได้บนแพลตฟอร์มต่างๆ ที่รองรับการเทรดฟิวเจอร์ส

  • Binance – รองรับ DCA Bot, Grid Bot และ Martingale Bot ผ่านแพลตฟอร์มของ Binance เองหรือบอทจากผู้ให้บริการภายนอก
  • Bybit – รองรับ Grid Bot และ Martingale Bot ที่สามารถตั้งค่าได้ง่าย
  • OKX – มีบอท Futures DCA และ Martingale Bot ที่ช่วยจัดการความเสี่ยง
  • Pionex – ให้บริการ DCA Bot และ Grid Bot ที่ใช้งานง่ายและได้รับความนิยม
  • KuCoin – รองรับ DCA และ Grid Trading Bot ที่สามารถตั้งค่าได้ตามกลยุทธ์ของผู้ใช้

การเลือกใช้บอทเทรดขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การลงทุน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และลักษณะของตลาด การทดลองใช้และปรับแต่งการตั้งค่าบอทให้เหมาะสมจะช่วยให้สามารถทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

Future DCA, Future Grid และ Future Martingale ต่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการลงทุน

  • Future DCA เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการถัวเฉลี่ยต้นทุนและลดผลกระทบจากความผันผวน
  • Future Grid เหมาะกับตลาดที่มีความผันผวนและต้องการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคา
  • Future Martingale มีโอกาสทำกำไรสูง แต่มีความเสี่ยงสูงหากตลาดสวนทาง

ก่อนใช้บอทเทรด ควรศึกษากลยุทธ์อย่างละเอียด ทดลองในบัญชีเดโม และบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันการขาดทุนที่ไม่จำเป็น


คำเตือนความเสี่ยง:
ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้จัดทำเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ ความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นความรับผิดชอบของผู้ลงทุนเอง
บทความก่อนหน้านี้Funding Fee คืออะไร? เปิดกลยุทธ์ลับทำกำไรจากฟิวเจอร์สที่เทรดเดอร์ต้องรู้!
บทความถัดไปเปิดสูตรลับ! 7 กลยุทธ์เทรด Futures ให้กำไรพุ่ง – ใช้งานได้จริงในทุกสภาวะตลาด