เปิดสูตรลับ! 7 กลยุทธ์เทรด Futures ให้กำไรพุ่ง – ใช้งานได้จริงในทุกสภาวะตลาด

18

Futures Trading หรือ การซื้อขายล่วงหน้า เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงของตลาด โดยใช้ Leverage (เลเวอเรจ) เพื่อเพิ่มอำนาจการลงทุน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการเทรดฟิวเจอร์สนั้นสูง หากไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี

รวมกลยุทธ์ขั้นสูงเพื่อทำกำไรจากตลาดฟิวเจอร์ส
รวมกลยุทธ์ขั้นสูงเพื่อทำกำไรจากตลาดฟิวเจอร์ส

บทความนี้จะแนะนำ 7 กลยุทธ์การเทรด Futures ที่เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และนักเทรดระดับมืออาชีพ พร้อมอธิบายหลักการทำงาน ข้อดี ข้อเสีย และวิธีการใช้งานของแต่ละกลยุทธ์

1. Trend Following (เทรดตามแนวโน้ม)

หลักการทำงาน

Trend Following เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการเข้าเทรดตามแนวโน้มหลักของตลาด โดยเชื่อว่าหากราคากำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แนวโน้มนั้นมักจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีสัญญาณกลับตัว นักเทรดจะทำกำไรโดยเปิดสถานะตามแนวโน้ม เช่น หากราคายังคงอยู่เหนือ Moving Average (MA) อย่างต่อเนื่อง ก็เป็นสัญญาณว่าตลาดยังคงเป็นขาขึ้น ในขณะที่หากราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว อาจเป็นขาลง กลยุทธ์นี้ใช้ได้กับทุกกรอบเวลาและสามารถนำไปปรับใช้กับสินทรัพย์หลายประเภท

วิธีใช้งาน

  • ใช้ Moving Average (MA) เช่น MA 50 และ MA 200 เพื่อระบุแนวโน้มของตลาด
  • ใช้ MACD (Moving Average Convergence Divergence) ยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
  • ใช้ RSI (Relative Strength Index) เพื่อตรวจจับแรงซื้อหรือแรงขายที่มากเกินไปและดูโอกาสกลับตัว

ข้อดี

  • เหมาะกับตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน สามารถใช้ได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
  • ใช้งานได้ง่าย และสามารถใช้ได้กับทุกกรอบเวลา ตั้งแต่รายวันถึงระยะยาว

ข้อเสีย

  • อาจให้สัญญาณล่าช้า โดยเฉพาะเมื่อใช้ตัวชี้วัดระยะยาว
  • ไม่เหมาะกับตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม (Sideway) ซึ่งอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก (False Signal)

2. Breakout Strategy (เทรดตามการทะลุแนวรับแนวต้าน)

หลักการทำงาน

Breakout Strategy เป็นกลยุทธ์ที่เน้นเข้าเทรดเมื่อ ราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ ซึ่งมักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงขึ้น เมื่อตลาดมีการสะสมพลังในช่วง Sideway แล้วราคาสามารถทะลุแนวรับหรือต้านไปได้ จะเกิดแรงซื้อหรือแรงขายที่มากขึ้น ทำให้ราคาพุ่งขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์นี้เหมาะกับตลาดที่มี ความผันผวนสูง และต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนที่ของราคาที่ชัดเจน

วิธีใช้งาน

  • ใช้ Fibonacci Retracement หรือกำหนด แนวรับ-แนวต้าน ด้วยกราฟราคาย้อนหลัง
  • หากราคาทะลุแนวต้านพร้อม ปริมาณการซื้อ (Volume) สูง ให้เปิด Long
  • หากราคาทะลุแนวรับพร้อม ปริมาณการขาย (Volume) สูง ให้เปิด Short

ข้อดี

  • สามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วเมื่อตลาดเกิด Breakout
  • ใช้ได้กับสินทรัพย์ทุกประเภทที่มี สภาพคล่องสูง

ข้อเสีย

  • มีโอกาสเกิด False Breakout ที่ทำให้ราคาย้อนกลับไปในกรอบเดิม
  • จำเป็นต้องใช้ Stop Loss อย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการผิดทาง

3. Scalping Strategy (เทรดสั้นเพื่อเก็บกำไรเล็ก ๆ )

หลักการทำงาน

Scalping เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการทำกำไรจาก การเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้น โดยเปิดและปิดสถานะภายในไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที นักเทรดจะใช้ Leverage เพื่อขยายผลกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กน้อย แต่ต้องอาศัย ความเร็วและความแม่นยำสูง ในการตัดสินใจ กลยุทธ์นี้เหมาะกับตลาดที่มีสภาพคล่องสูง และต้องใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบเรียลไทม์ เช่น Order Book และ Tick Chart

วิธีใช้งาน

  • ใช้กราฟ 1 นาที (M1) หรือ 5 นาที (M5) เพื่อตรวจจับสัญญาณซื้อขาย
  • ตั้ง Take Profit 0.2%-0.5% ต่อออเดอร์ เพื่อปิดกำไรอย่างรวดเร็ว
  • ใช้ Stop Loss ที่แคบ เพื่อลดการขาดทุนหากราคาผิดทิศทาง

ข้อดี

  • สามารถทำกำไรได้หลายครั้งในแต่ละวันจากการเทรดบ่อย ๆ
  • ลดความเสี่ยงจากการถือสถานะนาน ทำให้ไม่ต้องเผชิญความผันผวนในระยะยาว

ข้อเสีย

  • ต้องมี วินัยและแผนการบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อไม่ให้ขาดทุนสะสม
  • ต้องเฝ้าติดตามตลาดตลอดเวลา ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลามากพอ

4. Hedging Strategy (ป้องกันความเสี่ยง)

หลักการทำงาน

Hedging Strategy เป็นเทคนิคที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดโดยเปิดสถานะ ตรงข้าม กับสินทรัพย์ที่ถืออยู่ วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถป้องกันการขาดทุนจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่พึงประสงค์ ตัวอย่างเช่น หากนักเทรดถือ Bitcoin (BTC) ในตลาด Spot และคาดว่าราคาจะลดลง สามารถเปิด Short BTC Futures เพื่อชดเชยการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น เมื่อราคาลดลง กำไรจากสถานะ Short จะช่วยลดผลกระทบของพอร์ตหลัก วิธีนี้มักใช้โดยนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการลดความเสี่ยงโดยไม่ต้องขายสินทรัพย์ที่ถืออยู่

วิธีใช้งาน

  • หากถือ BTC Spot และต้องการป้องกันความเสี่ยงจากราคาลดลง ให้เปิด Short BTC Futures
  • ใช้ Options ควบคู่กับ Futures เช่น Put Options เพื่อป้องกันขาดทุนในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มขาลง

ข้อดี

  • ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ทำให้พอร์ตมีเสถียรภาพมากขึ้น
  • สามารถใช้ได้กับ สินทรัพย์ทุกประเภท เช่น คริปโต ฟอเร็กซ์ หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์

ข้อเสีย

  • ต้องใช้ทุนสูง เนื่องจากต้องเปิดสถานะทั้งสองฝั่งพร้อมกัน
  • ไม่ได้สร้างกำไรโดยตรง แต่เป็นการป้องกันการขาดทุนมากกว่าการทำกำไรโดยตรง

5. Cash and Carry Arbitrage (ทำกำไรจากส่วนต่างราคา)

หลักการทำงาน

Cash and Carry Arbitrage เป็นกลยุทธ์ที่ทำกำไรจาก ส่วนต่างของราคาระหว่างตลาด Spot และ Futures โดยทั่วไป ราคาสัญญา Futures มักจะสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบันเนื่องจากปัจจัยด้านต้นทุนและดอกเบี้ยของตลาด นักเทรดสามารถใช้โอกาสนี้ในการทำกำไรโดย ซื้อสินทรัพย์ในตลาด Spot และเปิด Short สัญญา Futures ที่มีราคาสูงกว่า เมื่อสัญญา Futures หมดอายุ ราคาของตลาด Spot และ Futures มักจะปรับตัวเข้าใกล้กัน ทำให้นักเทรดสามารถปิดสถานะทั้งสองฝั่งและรับกำไรจากส่วนต่างของราคาได้

วิธีใช้งาน

  • ซื้อ BTC ในตลาด Spot ในราคาปัจจุบัน
  • ขาย Short BTC Futures ที่มีราคาสูงกว่าตลาด Spot
  • เมื่อสัญญาหมดอายุ ปิดสถานะทั้งสองฝั่งและรับกำไรจากส่วนต่างราคา

ข้อดี

  • ความเสี่ยงต่ำ เพราะเป็นการล็อกกำไรจากความแตกต่างของราคา
  • เหมาะกับตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม เนื่องจากไม่ต้องอาศัยการคาดการณ์ทิศทางราคา

ข้อเสีย

  • ต้องใช้ทุนสูง เนื่องจากต้องเปิดสถานะทั้งฝั่ง Spot และ Futures พร้อมกัน
  • ผลกำไรอาจไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับกลยุทธ์ที่เน้นเก็งกำไรจากการเคลื่อนที่ของราคา

6. Funding Rate Arbitrage (ทำกำไรจากค่าธรรมเนียม Funding Rate)

หลักการทำงาน

Funding Rate Arbitrage เป็นกลยุทธ์ที่อาศัย ค่าธรรมเนียม Funding Rate ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่นักเทรดต้องจ่ายให้ฝั่งตรงข้ามทุก 8 ชั่วโมง ในตลาด Futures หาก Funding Rate เป็นบวก หมายความว่าฝั่ง Long ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ฝั่ง Short ซึ่งทำให้ผู้ที่เปิด Short ได้รับค่าธรรมเนียมโดยไม่ต้องพึ่งพาทิศทางของราคา ในทางกลับกัน หาก Funding Rate เป็นลบ หมายถึงฝั่ง Short ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ฝั่ง Long นักเทรดสามารถเปิด Long เพื่อสะสมค่าธรรมเนียมแทน กลยุทธ์นี้เหมาะกับตลาดที่มี Funding Rate สูงอย่างต่อเนื่องและต้องใช้การติดตามแบบเรียลไทม์

วิธีใช้งาน

  • หาก Funding Rate เป็นบวกสูง → เปิด Short เพื่อรับค่าธรรมเนียมจากฝั่ง Long
  • หาก Funding Rate เป็นลบ → เปิด Long เพื่อรับค่าธรรมเนียมจากฝั่ง Short

ข้อดี

  • สามารถทำกำไรได้โดยไม่ต้องคาดการณ์ทิศทางของตลาด
  • ใช้ได้ดีในตลาดที่มี Funding Rate สูงและมีแนวโน้มต่อเนื่อง

ข้อเสีย

  • ต้อง ติดตาม Funding Rate อย่างใกล้ชิด เพราะค่าธรรมเนียมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
  • ผลตอบแทนอาจไม่แน่นอนและขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของ Funding Rate

7. Spread Trading (ทำกำไรจากส่วนต่างสัญญา Futures)

หลักการทำงาน

Spread Trading เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ ส่วนต่างของราคาระหว่างสัญญา Futures ที่มีวันหมดอายุแตกต่างกัน โดยนักเทรดจะเปิดสถานะ Long และ Short พร้อมกัน ในสัญญาที่มีวันหมดอายุไม่ตรงกัน หากส่วนต่างของราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ นักเทรดสามารถปิดสถานะทั้งสองฝั่งเพื่อทำกำไร กลยุทธ์นี้ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดโดยรวม เพราะแทนที่จะคาดการณ์ทิศทางของราคาสินทรัพย์ นักเทรดมุ่งเน้นทำกำไรจากความแตกต่างของราคาสัญญา Futures แทน

วิธีใช้งาน

  • ซื้อ BTC Futures ไตรมาสปัจจุบัน และ ขาย BTC Futures ไตรมาสถัดไป
  • ปิดสถานะเมื่อส่วนต่างของราคาสัญญาปรับตัวตามที่คาดการณ์ไว้

ข้อดี

  • ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด เนื่องจากไม่ได้พึ่งพาการคาดการณ์ทิศทางของราคา
  • ใช้ได้ดีในตลาดที่มีความต่างของราคาสัญญา Futures อย่างชัดเจน

ข้อเสีย

  • ต้องใช้ทุนสูง เพราะต้องเปิดสถานะทั้งสองฝั่งพร้อมกัน
  • ค่าธรรมเนียมจากการถือสัญญาอาจสูงขึ้น หากเก็บสถานะไว้นานเกินไป

สรุป

Futures Trading เป็นโอกาสทำกำไรที่มาพร้อมกับความเสี่ยง การเลือก กลยุทธ์ที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ หากต้องการทำกำไรจากแนวโน้มใหญ่ Trend Following และ Breakout Trading เป็นตัวเลือกที่ดี ส่วน Scalping เหมาะกับการทำกำไรสั้น ๆ จากความผันผวน

หากต้องการลดความเสี่ยง Hedging Strategy ช่วยป้องกันขาดทุน ในขณะที่ Arbitrage และ Spread Trading ทำกำไรจากส่วนต่างของราคาโดยไม่ต้องพึ่งพาแนวโน้มตลาด ไม่ว่าคุณจะใช้กลยุทธ์ใด การบริหารความเสี่ยงและมีวินัยในการเทรด เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณสร้างผลตอบแทนจาก Futures ได้อย่างยั่งยืน


คำเตือนความเสี่ยง:
ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้จัดทำเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ ความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นความรับผิดชอบของผู้ลงทุนเอง
บทความก่อนหน้านี้Future DCA, Future Grid และ Future Martingale: กลยุทธ์บอทเทรดฟิวเจอร์สที่นักลงทุนควรรู้
บทความถัดไปกลไกการสร้างรายได้ของกองทุน Crypto ETF: กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตทำเงินอย่างไร?