รายงานล่าสุดจาก JPMorgan Chase เปิดเผยว่า นักขุดบิทคอยน์ในสหรัฐฯ ได้เพิ่มส่วนแบ่งของ Hashrate (อัตราแฮช) เป็น สองเท่า ภายในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นศูนย์กลางการขุดบิทคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

การเติบโตนี้เป็นผลมาจาก การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขุด และ พลังงานที่มีต้นทุนต่ำ ในบางรัฐ เช่น เท็กซัส ซึ่งเป็นศูนย์กลางหลักของนักขุดคริปโต
เหตุผลที่สหรัฐฯ กำลังครองตลาดการขุดบิทคอยน์
นักวิเคราะห์ของ JPMorgan ระบุว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้ นักขุดบิทคอยน์ในสหรัฐฯ สามารถเพิ่มอัตราแฮชขึ้นเป็น สองเท่า ได้แก่
- การขยายฟาร์มขุดขนาดใหญ่ – บริษัทขุดบิทคอยน์ในสหรัฐฯ ได้เพิ่มกำลังการผลิต โดยใช้เครื่องขุดรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- การใช้พลังงานหมุนเวียน – หลายบริษัทขุดบิทคอยน์หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้ต้นทุนถูกลงและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- กฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้น – แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีการกำกับดูแลอุตสาหกรรมคริปโตอย่างเข้มงวด แต่กฎระเบียบที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นใจ
ผลกระทบต่อเครือข่ายบิทคอยน์
- ความมั่นคงของเครือข่าย – การเพิ่มขึ้นของอัตราแฮชช่วยทำให้ เครือข่ายบิทคอยน์มีความปลอดภัยมากขึ้น และลดโอกาสที่เครือข่ายจะถูกโจมตี
- การแข่งขันที่สูงขึ้น – นักขุดจากประเทศอื่น ๆ เช่น คาซัคสถาน และแคนาดา อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับบริษัทในสหรัฐฯ
- แนวโน้มราคาบิทคอยน์ – การเพิ่มขึ้นของอัตราแฮชอาจบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของนักขุดต่ออนาคตของบิทคอยน์ ซึ่งอาจมีผลต่อราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลในระยะยาว
บทสรุป
นักขุดบิทคอยน์ในสหรัฐฯ กำลังขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมการขุด โดยสามารถเพิ่มส่วนแบ่งของ Hashrate ขึ้นเป็น สองเท่า ภายในเวลาอันสั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนด้านพลังงานที่เป็นมิตรกับนักขุดในประเทศ
แหล่งที่มา: Investing.com
คำเตือนความเสี่ยง:
ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้จัดทำเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ ความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นความรับผิดชอบของผู้ลงทุนเอง